วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

วัดเชียงควน

 "เวียงจันทน์" (Vientiane) นับเป็นเมืองหลวงที่มีความสำคัญ และยังนับเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอีกเมืองหนึ่งของประเทศลาว นอกเหนือไปจาก “หลวงพระบาง” อันเป็นนครแห่งสวรรค์แล้ว ก็ยังมีเวียงจันทน์ ที่นับเป็นนครแห่งความสุข มีนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อย ที่ได้มีโอกาสไปเยือนยังเมืองเวียงจันทน์ ซึ่งต่างก็หลงเสน่ห์และต้องกลับมาเยี่ยมเยือนท่องเที่ยวนครแห่งนี้ 

ความโดดเด่นของสถานที่ท่องเที่ยวของเวียงจันทน์นั้น ก็คงจะหนีไม่พ้นการเก็บเกี่ยวเที่ยวชมความงดงามของอาคารบ้านเรือนโบราณ วัดวาอารามที่มีความเก่าแก่ รวมไปถึงการแวะชมตลาดเช้าที่เปิดให้บริการทั้งวัน โดยมีสินค้าที่ได้รับความนิยมนั่นก็คือ ผ้าไหมและเสื้อผ้านั่นเอง

ภาพจาก https://www.l2btour.com/upload-images/06.jpg


ทว่าไม่ไกลเท่าใดนัก ก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหนึ่งแห่ง ที่มีความสวยงาม โดยอยู่ห่างออกไปนอกตัวเมืองเวียงจันทน์ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ประมาณ 25 กิโลเมตร ซึ่งคุณจะได้พบกับสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง และมีความยิ่งใหญ่อลังการงานสร้าง  คือ สวนวัฒนธรรมเชียงควน  (Buddha Park)  หรือ วัดเชียงควน (Xieng Khuan Temple) อันเป็นสวนวัฒนธรรมเชียงควน ที่มีความสำคัญทางด้านการท่องเที่ยว และยังได้รับความชื่นชอบจากบรรดาคนชอบเที่ยวทั้งหลายทั่วสารทิศ 

ภาพจาก https://pbs.twimg.com/media/EIXUqgOWoAMOqwW.jpg:large


Xieng Khuan Buddha วัดเซียงควนหรือที่รู้จักกันดีในชื่อ สวนวัฒนธรรมเชียงควน ไม่ไกลจากเมืองหลวงเวียงจันทน์ ตั้งอยู่ห่าง 25 กม. จากเมืองหลวงเวียงจันทน์ในทุ่งหญ้าริมแม่น้ำโขงซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นวัดที่มีรูปปั้นมากมาย สวนพระพุทธเซียนมีพระพุทธรูปฮินดูและพุทธศาสนามากกว่า 200 องค์ อุทยานพระพุทธรูปเซียงควนตั้งอยู่ที่หมู่บ้านตำบลหาดใหญ่แขวงเวียงจันทน์เมืองหลวงของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มันถูกสร้างขึ้นในปีพ.ศ. 2501 โดยหลวงปู่บุญเหลือ

รูปปั้นทำจากคอนกรีตเสริมเหล็ก เป็นงานประติมากรรมปูนปั้นขนาดใหญ่ ที่เกี่ยวกับเรื่องราวพุทธประวัติ และคำสอนตามหลักศาสนาต่างๆ ที่นำมาผสมผสานรวมกัน เพื่อชี้ให้ทุกคนเห็นถึงบาป บุญ และผลจากการกระทำ ซึ่งเทวาลัยทั้งหมดเกิดจากแรงบันดาลใจของปู่เหลือ ที่ต้องการให้เทวสถานแห่งนี้เป็นที่หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง

💗Highlight

☑รูปปั้นที่โดดเด่นอย่างหนึ่งคล้ายกับฟักทองยักษ์

ภาพจาก https://www.bloggang.com/data/s/sumatekso/picture/1554044663.jpg

ภายในนั้นมีสามเรื่องที่แสดงถึงสามระดับ ได้แก่ นรก โลก และสวรรค์ ผู้เข้าชมสามารถเข้าไปข้างในซึ่งเป็นปากปีศาจหัวมีความสูง 3 เมตร (9,8 ฟุต) และปีนบันไดจากนรกสู่สวรรค์แต่ละเรื่องราวมีรูปปั้นวาดภาพ แต่ละชั้นที่ด้านบนนี่คือจุดชมวิวของสวนวัฒนธรรม มองเห็นบริเวณทั้งหมด

ประตูสู่ฟักทองขนาดใหญ่แสดงถึงนรก โลกและสวรรค์และยังมีพระพุทธรูปขนาดเล็กภายในฟักทองขนาดใหญ่

💚💚💚💚💚

พระพุทธรูปปางไสยาสน์

ภาพจาก https://www.nirvana-archipel-resort.com/wp-content/uploads/XIENG-KHUAN.jpg

เป็นพระพุทธรูปปางปรินิพพานที่มีความยาว 45 เมตรพระพุทธรูปนี้เป็นที่ชื่นชอบมากที่สุดในสวนวัฒนธรรม ต้องการสื่อให้พุทธศาสนิกชนได้รำลึกถึงการเสด็จดับขันธปรินิพพานของพระพุทธองค์ เป็นการเตือนใจให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท

💚💚💚💚💚

☑ปางวะไลย์

ภาพจาก https://www.bloggang.com/data/s/sumatekso/picture/1554044264.jpg

ความหมายคือเมืองทางกายภาพของมนุษย์ซึ่งประกอบด้วย 6 สัมผัส ได้แก่: ตา หู ลิ้น จมูก ร่างกายและหัวใจ จากภาพจะเห็นว่ามี 4 หน้า และมี 3 ระดับ ด้านบนของหัวคือเทวดา หัวผี และหัวมนุษย์ ตามลำดับ

ประติมากรรมนี้สอนและเปรียบเทียบมนุษย์ ถ้าใครฉลาดคิดและทำสิ่งที่ดีก็เหมือนนางฟ้า แต่ถ้าใครคิดและทำสิ่งเลวร้ายคน ๆ นั้นจะเป็นเหมือนผี นอกจากนี้ยังสอนให้เรารู้ว่ามนุษย์จะต้องเกิดมาเจ็บป่วยชราภาพและตายไปตลอดกาลดังนั้นเมื่อยังมีชีวิตอยู่ เราต้องทำสิ่งที่ดีและทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเพราะชีวิตนั้นสั้นเกินไป

💚💚💚💚💚

กบกินเดือน

ภาพจาก https://udon2laos.com/xieng-khuan-temple-10-Custom-576x1024.jpg

เราเรียกจันทรุปราคาหรือกบกินดวงจันทร์ซึ่งหมายความว่าเมื่อดวงอาทิตย์โลกและดวงจันทร์อยู่ในแนวเดียวกัน มักเกิดขึ้นในช่วงพระจันทร์เต็มดวงเมื่อดวงจันทร์ผ่านเงาของโลก โดยเกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่อิทธิพลของความคิดและความเชื่อของหลาย ๆ คนในอดีตที่ผ่านมาคือกบกินเดือน

🚌การเดินทางไปสวนวัฒนธรรมเชียงควน

สวนวัฒนธรรมเชียงควนตั้งอยู่ใกล้กับหมู่บ้านท่าเดื่อผ่านสะพานมิตรภาพไทยลาวไปทางตะวันออกเฉียงใต้ของเวียงจันทน์ริมฝั่งแม่น้ำโขงประมาณ 25 กิโลเมตร มีหลายวิธีในการเดินทาง วิธีที่ง่ายที่สุดคือจองกับตัวแทนการท่องเที่ยวเวียงจันทน์

รถโดยสารประจำทางสาย 14 ออกเดินทางหลายครั้งต่อชั่วโมงจากสถานีขนส่งขัวดินถัดจากตลาดเช้าไปยังพุทธอุทยาน การเดินทางใช้เวลาประมาณ 45 นาทีค่าใช้จ่าย 6,000 กีบต่อเที่ยว

🏍อีกวิธีในการเดินทางคือเช่ารถมอเตอร์ไซค์ แม้ว่าจะเป็นการเดินทางที่สนุกสนานและมีโอกาสแวะที่อื่น ๆ ระหว่างทาง แต่ระวังหลุมบ่อและถนนที่เต็มไปด้วยฝุ่น อย่าลืมกลับเข้าเมืองก่อนที่จะมืดเพราะมักจะมีไฟถนนน้อยมากหรือไม่มีเลยบนถนนในท้องถิ่น

หรือเช่ารถตุ๊กตุ๊กสำหรับการเดินทาง ราคาขึ้นอยู่กับทักษะการต่อรองของคุณและจะอยู่ระหว่าง 150,000 ถึง 200,000 กีบ คนขับจะรอที่ลานจอดรถสำหรับการเดินทางกลับเวียงจันทน์

🕗เวลาทำการ

เปิดทุกวันตั้งแต่ 8.00 น. ถึง 16.30 น.

ช่วงเวลาแนะนำ : ช่วงเช้า หรือเย็น แดดจะไม่ร้อนมาก เนื่องจากบริเวณทั้งหมดเป็นพื้นที่กลางแจ้ง

🎫ค่าธรรมเนียมแรกเข้า

ค่าเข้าคนละ 5,000 กีบ ค่ากล้อง 3,000 กีบ


เนื่องจากสถานที่ทั้งหมดเป็นลานโล่งกลางแจ้ง การเดินชมตามเทวาลัยต่างๆ ในช่วงกลางวันแดดจึงร้อนมาก นอกจากนี้ยังมีป้ายภาษาอังกฤษพร้อมข้อมูลเกี่ยวกับรูปสลักและความหมายของรูปแกะสลักน้อยมาก  สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวชม อาจจะไม่สามารถเข้าใจความหมายของประติมากรรมต่างๆ ได้ครบถ้วน 

วัดเชียงควนหรือสวนวัฒนธรรมแห่งนี้ นับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งในเวียงจันทน์ และยังนับเป็นศาสนสถานที่มีการจัดแสดงประติมากรรมปูนปั้นกลางแจ้งขนาดยักษ์จำนวนมากที่สุดในประเทศลาวเลยทีเดียว หากใครได้มาเที่ยวที่เวียงจันทน์แล้ว ก็ไม่ควรพลาดมาเที่ยวชมให้ได้ซักครั้ง



💜💜💜💜💜💜💜💜💜💜💜


ขอบคุณข้อมูลจาก

Paul Smith. (มปป.). Buddha Park (Xieng Khuan) in Vientiane. บค้นเมื่อ 5 พฤศจิกายน 2020. จาก https://th.hotels.com/go/laos/buddha-park

RenownTravel. (มปป.). Xieng Khuan Buddha Park. สืบค้นเมื่อ 5 พฤศจิกายน 2020. จาก https://www.renown-travel.com/laos/vientiane/buddha-park.html

Weaq. (2015). สวนวัฒนธรรมเชียงควน ประเทศลาว. สืบค้นเมื่อ 5 พฤศจิกายน 2020. จาก https://www.goisgo.net/สวนวัฒนธรรมเชียงควน

ปิโยรส อุทุมเทวา. (2019).“พุทธอุทยาน สวนพระ”  (Buddha Park) สะท้อนการเกิด-ดับ เป็นปริศนาธรรมอันน่าค้นหา. สืบค้นเมื่อ 5 พฤศจิกายน 2020. จาก https://www.asiabiz-travel.com/content/5305/-พุทธอุทยาน-สวนพระ-Buddha-Park-สะท้อนการเกิด-ดับ-เป็นปริศนาธรรมอันน่าค้นหา

วัดเชียงควน. (มปป.). สืบค้นเมื่อ 5 พฤศจิกายน 2020. จากhttps://udon2laos.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%99-xieng-khuan-temple/



วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2563

เจดีย์กุโสดอ เมืองมัณฑะเลย์

มัณฑะเลย์ อีกสถานที่หนึ่งแห่งพม่าที่ยังคงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม พร้อมด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ควรค่าแก่การสักการะบูชา เป็นอีกหนึ่งมนต์เสน่ห์แห่งพม่าที่ต้องหาโอกาสไปเยือนให้ได้สักครั้งในชีวิต ซึ่งปัจจุบันนี้มัณฑะเลย์มีฐานะเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของพม่ารองจาก ย่างกุ้ง เป็นราชธานีสุดท้ายของราชวงศ์พม่า ก่อนที่ระบอบกษัตริย์จะถูกโค่นล้มลงและก่อนจะตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ

ภาพถ่ายของเจดีย์กุโธดอในช่วงทศวรรษที่ 1870
ภาพจาก 
https://en.wikipedia.org/wiki/File:Maha_Lawka_Maya_Zain_Pagoda_(Mandalay,_Burma_1870-80),_photograph_by_Philip_Adolphe_Klier.jpg
    
เจดีย์กุโสดอ เป็นเจดีย์สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศพม่า ซึ่งใช้รูปแบบการสร้างแบบเดียวกับเจดีย์ชเวซิกอง ในเมืองพุกาม และยังเป็นที่ตั้งของ “หนังสือที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก” จากการสังคายนาพระไตรปิฏก และได้มีการจารึกข้อความทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์ ลงบนแผ่นหินอ่อนขนาดใหญ่จำนวน 729 แผ่น ซึ่งตั้งอยู่รายล้อมพระเจดีย์


💜ประวัติความเป็นมาของเจดีย์กุโสดอ💜

เจดีย์กุโสดอ ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1857 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับการสร้างพระราชวังมัณฑะเลย์รวมถึงตัวเมือง ในสมัยที่พระเจ้ามินดงใช้เมืองมัณฑะเลย์เป็นเมืองหลวง จุดประสงค์เพื่อใช้เป็นอนุสรณ์สถานในการสังคายนาพระไตรปิฏกที่นับเป็นครั้งที่ 4 ของโลก โดยลักษณะของตัวเจดีย์เป็นสีทอง มีความสูง 30 เมตร รายล้อมด้วยมณฑปสีขาวทั้ง 4 ทิศ ซึ่งภายในเป็นที่ประดิษฐานของแผ่นหินอ่อนที่ใช้จารึกข้อความจากพระไตรปิฏก


💙โครงสร้าง💙

ตัวเจดีย์ที่เชื่อมต่อกับทางเข้าด้านนอกด้วยทางเดินยาวตั้งอยู่กลางทุ่งนาสิบสามเอเคอร์ที่มีเจดีย์หรือศาลเจ้าพิตากะ 729 แห่ง (Dama Cetis) แต่ละศาลมีแผ่นหินอ่อนจารึกทั้งสองด้านพร้อมข้อความภาษาบาลีของพระไตรปิฎกส่วนหนึ่ง (การสะกดภาษาบาลีหรือพระไตรปิฎกในภาษาสันสกฤต) ซึ่งเป็นข้อความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท เมื่อนำมารวมกันมีข้อความทั้งหมดของพระไตรปิฎกจึงรวมกันเป็น "หนังสือเล่มใหญ่ที่สุดในโลก" 

ภาพจาก https://myanmartravelinformation.com/images/stories/mandalay/kuthodaw1.jpg

แผ่นหินแกะสลักจากหินอ่อนสีขาวแซกยินฮิลล์ซึ่งพบทางเหนือของมัณฑะเลย์เพียงไม่กี่ไมล์ งานแกะสลักเริ่มในเดือนตุลาคม พ.ศ.2403 และดำเนินการในห้องโถงพิเศษภายในพระราชวังพระเจ้ามินดง 

ภาพจาก https://www.renown-travel.com/images/kuthodaw-pagoda-worlds-largest-book-l.jpg

แผ่นพื้นแต่ละแผ่นกว้าง 5 ฟุต (1.5 ม.) x 3.5 ฟุต (1.1 ม.) และหนา 5-6 นิ้ว (12.7 - 15 ซม.) นักวิชาการพระพุทธศาสนา / ช่างแกะสลักเสร็จสิ้นในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2412 ถ้ากางออกในแนวนอน แผ่นคอนกรีตจะครอบคลุมหนึ่งในสามของเอเคอร์ วางซ้อนกันในแนวตั้ง 'หน้า' จะสูงขึ้น 340 ฟุต (103 ม.) แต่เดิมตัวอักษรยังมีแผ่นไม้อัดทองคำเปลว สถิติที่ระบุนี้เป็นสถิติที่ได้รับจาก U Tun Aung Chain ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์ที่เกษียณจากมหาวิทยาลัยย่างกุ้ง


👉ปิดทองเจดีย์👈

ตรงกลางของอาคารมีเจดีย์ปิดทองสูง 57 เมตร เจดีย์สร้างขึ้นในปี 1859 โดยจำลองแบบมาจากเจดีย์ชเวซิกองในพุกาม เจดีย์ทรงระฆังตั้งอยู่บนฐานของรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสลดลงสามชั้น ที่มุมทั้งสี่ของเจดีย์มีสิงโตทองคำขนาดใหญ่สี่ตัวซึ่งเป็นสิงโตในตำนานที่เฝ้าเจดีย์ แต่ละด้านมีบันไดขึ้นไปที่ฐานของระฆัง เจดีย์มียอดฉัตรขนาดใหญ่หลายชั้นประดับยอดแหลมคล้ายร่ม

ภาพจาก https://www.worldtourcenter.com/uploads/images/48d7d22017db83803ca72b90f5cc06ff.jpg

บนยอดเสาหน้าเจดีย์มีกาลอน (ครุฑนกจากตำนานพุทธและฮินดู) กำลังจับพญานาค ถัดจากเจดีย์เป็นศาลาเปิดโล่งขนาดเล็กที่มีพระพุทธรูปปางมารวิชัย "เรียกโลกให้มาเป็นสักขีพยาน" นั่งบนแท่นอันวิจิตรบรรจง


🛕การบูรณะ

เมื่อกองทัพอังกฤษยึดมัณฑะเลย์ในปีพ.ศ.2428 พื้นที่ของกุโธดอว์ถูกใช้เป็นกองทหาร ชาวอังกฤษทำลายอาคารกุโสดอ ขโมยทองคำเพชรพลอยและอัญมณีอื่น ๆ จากเจดีย์และนำทองคำออกจากตัวอักษรบนแผ่นคอนกรีต

หลังจากชาวอังกฤษได้ออกจากงานบูรณะโดยส่วนใหญ่ได้รับเงินบริจาคจากชาวพม่า เจดีย์ได้รับการปิดทองตัวอักษรบนแผ่นหินอ่อนทาสีใหม่ด้วยหมึกสีดำแทนที่จะเป็นสีทอง ใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะเสร็จสมบูรณ์และกุโสดอได้รับการบูรณะให้กลับมารุ่งเรืองในอดีต

ในปีค.ศ.2013 ยูเนสโกมอบโล่ประกาศเกียรติคุณแสดงให้เห็นว่ากุโสดอ ซึ่งประกอบด้วยหนังสือใหญ่ที่สุดของโลกในรูปแบบของ 729 แผ่นหินอ่อนที่ถูกจารึกไว้ในพระไตรปิฏกถูกจารึก ลงทะเบียนไว้ในความทรงจำโลก

ภาพจาก 
https://en.wikipedia.org/wiki/File:UNESCO_plaque,_Kuthodaw_Inscription_Shrines,_Kuthodaw_Pagoda,_Mandalay,_Myanmar_-_20141206.JPG


💛การเดินทางไปยังเจดีย์กุโสดอ💛

🚕...รถแท็กซี่ 

เป็นทางเลือกหลักในการเดินทางภายในเมืองต่างๆของพม่า รวมถึงในเขตพุกาม เนื่องจากในพื้นที่ยังไม่มีบริการรถสาธารณะประเภทอื่นๆ นักท่องเที่ยวสามารถใช้บริการรถแท็กซี่ทั้งจากรถของโรงแรมที่พักต่างๆ หรือตามท้องถนน ทั้งนี้อัตราค่าบริการจะเป็นราคาแบบเหมา ทั้งการเดินทางจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง หรือการเหมาท่องเที่ยวแบบ 1 วัน โดยอัตราค่าโดยสารต่อเที่ยวไปยังจุดต่างๆเริ่มต้นตั้งแต่ 3,000 จ๊าด ส่วนอัตราเหมาต่อ 1 วันอยู่ที่ประมาณ USD 50-90 โดยอัตราค่าโดยสารทั้งสองรูปแบบอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามสภาพรถ จุดหมาย และระยะทางในการเดินทาง

🏍...มอเตอร์ไซค์เช่า 

เป็นวิธีการเดินทางราคาประหยัดสำหรับนักท่องเที่ยว โดยในเมืองมัณฑะเลย์นั้นมีร้านเช่ามอเตอร์ไซค์อยู่จำนวนมาก บางโรงแรมก็มีให้บริการเช่นกัน โดยค่าเช่าต่อวันจะอยู่ที่ประมาณ 10,000 – 30,000 จ๊าด ขึ้นอยู่กับชนิดของมอเตอร์ไซค์ที่ต้องการ และยังไม่รวมค่าน้ำมันระหว่างวัน


🎫การซื้อบัตรเข้าชม

สถานที่สำคัญต่าง ๆ ในเมืองมัณฑะเลย์มีการจำหน่ายบัตรเข้าชมแบบรวม ซึ่งมีชื่อว่า Mandalay Archaeological Zone ticket ราคา USD 10 หรือ 10,000 จ๊าด สามารถใช้เข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวทุกแห่งในเมืองมัณฑะเลย์ สามารถหาซื้อได้ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ที่อยู่ภายในเมือง


🕢เวลาทำการ

เจดีย์เปิดทุกวันตั้งแต่ 8.00 น. ถึง 20.00 น.


⛅เวลาที่เหมาะสมสำหรับการท่องเที่ยว⛅

เนื่องจากประเทศพม่ามีสภาพอากาศที่ค่อนข้างร้อนตลอดทั้งปี นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จึงนิยมเดินทางไปในช่วงฤดูหนาว ระหว่างเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ ซึ่งถือเป็นช่วงไฮซีซั่นสำหรับการท่องเที่ยวประเทศพม่า ส่วนในฤดูอื่นๆนั้นก็ยังคงสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวได้ตามปกติ โดยในฤดูร้อนนั้นอาจต้องเตรียมรับมือกับสภาพอากาศที่ร้อนจัด แห้งแล้ง และฝุ่นควันจากพื้นที่โดยรอบเป็นพิเศษ ส่วนในฤดูฝนนั้นอาจต้องเตรียมรับมือกับสภาพฝนตกชุกและการเดินทางที่อาจมีอุปสรรคมากกว่าในช่วงเวลาปกติ






ขอบคุณข้อมูลจาก

โอเชียนสไมล์. (ม.ป.ป.). ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศพม่า. สืบค้นเมื่อ 15 ตุลาคม 2563, จาก http://www.oceansmile.com/Phama/MandalayKing.htm

Myanmar travel information. (ม.ป.ป.). Kuthodaw Pagoda. สืบค้นเมื่อ 15 ตุลาคม 2563, จาก https://myanmartravelinformation.com/where-to-visit-mandalay/kuthodaw-pagoda.html

RenownTravel. (ม.ป.ป.). Kuthodaw Pagoda. สืบค้นเมื่อ 15 ตุลาคม 2563, จาก https://www.renown-travel.com/burma/mandalay/kuthodawpagoda.html

Webmaster. 2020. เจดีย์กุโสดอ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า. สืบค้นเมื่อ 15 ตุลาคม 2563, จาก https://www.palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=144

Wikipedia. 2020. Kuthodaw Pagoda. สืบค้นเมื่อ 15 สิงหาคม 2563, จาก https://en.wikipedia.org/wiki/Kuthodaw_Pagoda



วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2563

ปราสาทตาพรหม

ตอนที่ได้มีโอกาสลงพื้นที่เพื่อสำรวจและเก็บข้อมูลภาคสนามที่ประเทศกัมพูชา ปราสาทตาพรหมเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คของเสียมราฐที่เราประทับใจมาก  ด้วยความที่ปราสาทมีเรื่องราวที่น่าสนใจและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว 

เมื่อLara CroftและTomb Raiderผลักดันภาพลักษณ์ของวัดตาพรหมในฮอลลีวูดไปยังโรงภาพยนตร์ทั่วโลกในปี 2544 พวกเขารวมกรณีกัมพูชาเป็นสถานที่ท่องเที่ยว สิบห้าปีต่อมามีผู้เข้าชมหลายล้านคนหลั่งไหลมาที่เสียมราฐในแต่ละปีซึ่งหลายคนจะถ่ายรูปใต้ “ต้นไม้” ที่แองเจลินาโจลียืนอยู่ในฉากแอ็คชั่นของภาพยนตร์

ภาพจาก https://i.dailymail.co.uk/i/pix/2017/10/29/22/45D00A0B00000578-0-image-m-22_1509316065502.jpg


อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่า ปราสาทตาพรหมมีชื่อเสียงมากกว่าเพื่อน บางทีอาจรวมอยู่ใน "สามองค์ใหญ่" พร้อมด้วยนครวัดและนครธม เป็นหนึ่งในวัดที่ไม่ควรพลาดเนื่องจากมีแหล่งท่องเที่ยวทางภาพยนตร์ แต่ในความเป็นจริงปราสาทตาพรหมเป็นวัดที่น่าหลงใหลในการเยี่ยมชมนอกเหนือจากสถานะฮอลลีวูด ในความเป็นจริงอาจเป็นการตัดสินใจที่จะไม่ล้างสถานที่ที่มีต้นไม้และปล่อยให้มีการครอบครองป่า / ซากปรักหักพังที่น่าประทับใจที่สุด ซึ่งดึงดูดความสนใจของกองสอดแนมสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์และทำให้ที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีบรรยากาศดีมากที่สุด


🚗สถานที่ตั้งและวิธีการเดินทาง

ปราสาทตาพรหมเป็นส่วนหนึ่งของวงจรเล็ก ๆ ของนครวัดและอยู่ห่างจากนครวัดหรือนครธมเพียงไม่กี่นาทีโดยรถตุ๊กตุ๊ก อาคารหลักของวัดถูกล้อมรอบด้วยกำแพงขนาดใหญ่ดังนั้นจึงไม่สามารถมองเห็นได้ทันทีจากถนน แต่จะถูกค้นพบโดยการเดินไม่ไกลบนเส้นทางที่มีป่าเรียงราย วิธีที่ยอดเยี่ยมในการมาที่วัดนี้คือการขี่จักรยานผ่านเส้นทางในป่าอังกอร์และประตูที่ไม่ค่อยมีคนใช้ ต้องใช้ไกด์จักรยานที่มีประสบการณ์ในการค้นหาเส้นทาง

ภาพจาก https://www.visit-angkor.org/wp-content/uploads/2012/12/ta-prohm-sculpture.jpg

👫ผู้เข้าชมส่วนใหญ่รวมทัวร์วัดตาพรหมกับการเยี่ยมชมนครธมและนครวัดเพื่อเติมบัตรผ่านหนึ่งวันที่วัด อย่างไรก็ตามปราสาทตาพรหมล้อมรอบไปด้วยสถานที่เล็ก ๆ อีกมากมายที่รวมเข้าด้วยกันสามารถทำให้เป็นวันแห่งการสำรวจที่ยอดเยี่ยม 

ปราสาทตาพรหมรวมอยู่ในบัตรผ่านวัดสำหรับอุทยานโบราณคดีอังกอร์ ไม่มีค่าเข้าชมวัดต่างหาก

🕒เวลาที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชม

ปราสาทตาพรหมเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมในตอนเช้าเมื่อทุกคนอยู่ที่นครวัด ป่าโดยรอบมีชีวิตชีวาด้วยเสียงและแสงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับช่างภาพที่กระตือรือร้นที่พยายามจับภาพการต่อสู้ระหว่างธรรมชาติและสถาปัตยกรรม

ภาพจาก https://www.experiencetravelgroup.com/reposit/20151124154622.jpg


💬ประวัติวัดตาพรหม

ชื่อเดิมของตาพรหม คือ Rajavihara แปลว่า “พระอารามหลวง” ถูกสร้างขึ้นเป็นอารามและมหาวิทยาลัยของศาสนาพุทธนิกายมหายาน การก่อสร้างของวัดมีขึ้นในปีค.ศ. 1186 แต่โดยทั่วไปถือว่าได้รับการต่อเติมและประดับประดาในช่วงเวลาหลายปี ดังที่มอริซกลาอิซให้ความเห็นในการประเมินวัดของเขาว่า “ในขณะที่บางครั้งวัดต่าง ๆ ในรูปแบบของบายนล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับกษัตริย์องค์เดียวคือพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 "

ภาพจาก https://angkorfocus.com/backoffice/uploads/myPic-Ta-Prohm-Temple-2


พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 สร้างปราสาทตาพรหมเพื่ออุทิศให้แก่พระราชมารดาของพระองค์ คือพระนางชัยราชจุฑามณี ผู้เปรียบประดุจกับพระนางปรัชญาปรมิตา ซึ่งหมายถึงเมื่อพระองค์เป็นอวตารของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร พระราชมารดาของพระองค์จึงเปรียบดังพระนางปรมิตาเช่นกัน ปราสาทตาพรหมถูกสร้างเคียงคู่กับปราสาทพระขรรค์ ซึ่งพระองค์ทรงถวายอุทิศให้กับพระราชบิดา ปราสาทตาพรหมนี้สร้างหลังปราสาทพระขรรค์เพียง 5 ปี ที่น่าประหลาดใจคือพิธีในปราสาทยุคนั้นหลักฐานจากจารึกบนจารึกรายชื่อบรรพบุรุษหลายคนของพระเจ้าชัยวรมัน รวมทั้งให้รายละเอียดของการก่อสร้างบนหลุมฝังศพ  ผู้คนเกือบ 80,000 คน จากหมู่บ้านกว่า 3,000 แห่งโดยรอบมีส่วนร่วมในการสร้าง ตัวเลขเช่นนี้ให้ข้อมูลเชิงลึกที่น่าอัศจรรย์เกี่ยวกับขนาดที่แท้จริงของอาณาจักรขอมในเวลานั้น

🏡เค้าโครงและโครงสร้าง

แม้ว่าปราสาทตาพรหมจะได้รับการดำเนินการเพื่อรักษาสภาพของซากปรักหักพัง ตาพรหมจึงถูกทิ้งอย่างจงใจมากที่สุดเท่าที่พบ ด้วยเหตุนี้จึงอาจสร้างความสับสนในการสำรวจสถานที่เนื่องจากบางส่วนไม่สามารถผ่านได้และการสำรวจวัดจากรูปแบบต้นไม้ที่น่าตื่นตาตื่นใจต้นหนึ่งไปสู่จุดต่อไปจึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจแทนที่จะเป็นตามแผนของวัดใด ๆ

ภาพจาก https://images.odysseytours.net/thumbnail/sectioninstanceinfo/21000/168003375826528/ta_prohm_temple_19317-850w_100q.jpg


รูปแบบของสถานที่นั้นค่อนข้างเรียบง่ายประกอบด้วยอาคารชั้นเดียวจำนวนหนึ่ง (วิหารเขมร "แบน" แทนที่จะเป็นโครงสร้างพีระมิด) ซึ่งล้อมรอบด้วยกำแพงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 600 x 1,000 ม. ภายในกำแพงนี้น่าจะมีเมืองใหญ่โตอยู่มากมาย แต่ตอนนี้ภายในวัดมีป่าเขาอาศัยอยู่ ทางทิศตะวันออกของที่ตั้งมีกำแพงล้อมรอบขนาดเล็กสี่แห่งซึ่งล้อมรอบวิหารกลาง


👉จากโคปุระทางทิศตะวันออกมุ่งสู่ปรางค์ประธาน ผนังด้านซ้ายมือจะเป็นภาพสลักของคติธรรมทางพุทธศาสนาตอนพระแม่ธรณีบีบมวยผม ซึ่งเป็นตอนที่มารมาผจญเจ้าชายสิทธัตถะก่อนที่จะตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า ลักษระภาพจะเห็นบรรดาเหล่าพญามารต่างตื่นตกใจหนีกระแสน้ำที่เกิดจากการบีบมวยผมของพระแม่ธรณีจนพ่ายแพ้ไปในที่สุด

👉หลังจากโคปุระทางด้านทิศตะวันออกจะมีบรรณาลัยที่อยู่ทางซ้ายมือ หน้าบันเป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ประดับด้วยพวงมาลัย ทับหลังเป็นภาพนารายณ์บรรทมสินธุ์

👉หน้าบันและทับหลัง👈 ตามปรางค์ปราสาทและโคปุระ มีภาพสลักล้วนแต่เกี่ยวกับพุทธประวัติ นิกายมหายานเป็นส่วนใหญ่น่าเสียดายว่าภาพสลักบางภาพได้ถูกดัดแปลงให้เป็นภาพเกี่ยวกับศาสนาฮินดูไปในที่สุด ได้แก่พระพุทธรูปหรือพระพุทธเจ้าที่ถูกสกัดให้เป็นศิวลึงค์ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 ที่ทรงเลื่อมใสในศาสนาฮินดู

👉ทางเข้าสู่ปรางค์ประธานจะอยู่ทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก👈 เช่นเดียวกับในหลายๆ ปราสาท ทว่าปัจจุบันมีถนนตัดผ่านทั้ง 2 ทิศ นักท่องเที่ยวนิยมเข้าทางทิศตะวันตก ถ้าเป็นไปได้ควรจะเข้าทางโคปุระทางทิศตะวันออก อันเป็นคตินิยมของผู้สร้างปราสาททุกแห่งของขอม

👉ถัดจากบรรณาลัยจะได้พบวิหารเล็ก ๆ 👈ซึ่งใช้เป็นที่ประกอบพีธีของพวกพราหมณ์ ซึ่งวิหารนี้จะมีการจุดไฟบูชาตลอดทั้งวันทั้งคืน ภูมิสถาปัตย์เช่นเดียวกับปราสาทพระขรรค์ ปรางค์ทางด้านทิศเหนือได้พังทลายลงมาหมดแล้ว เห็นแต่เพียงซากของเสา หน้าบันและทับหลังทับกันระเกะระกะ

👉ทางก่อนจะเข้าโคปุระชั้นที่ 3👈 จะพบต้นสะปงขนาดใหญ่ ขึ้นปกคลุมตรงส่วนกลางของปราสาทแห่งนี้ ลำต้นขึ้นอยู่บนหลังคา โดยมีรากโอบอุ้มตัวปราสาทอยู่ก่อนจะไชลงพื้นดิน เป็นมุมที่นิยมมาถ่ายมาก

👉หน้าบันที่อยู่ถัดจากปรางค์ประธาน👈 เป็นภาพเรื่องรามเกียรติ์ตอนพระลักษณ์ พระราม และนางสีดาถูกขับไล่ออกจากเมือง จะเห็นพระรามเสด็จออกโดยมีม้าเป็นพาหนะ มีไพร่ฟ้าประชาชนตามส่งเสด็จที่สะดุดตาและแปลกคือภาพสลักข้างเสากรอบประตูของโคปุระชั้นที่ 3 ด้านทิศตะวันตก มีภาพสลักคล้ายไดโนเสาร์อยู่ 1 ตัว เมื่อเดินมาสุดทางที่จะออกปราสาทตาพรหม ก็จะพบโคปุระซึ่งมีลักษณะคล้ายทางเข้าสู่กำแพงเมืองนครธมแห่งเมืองพระนครนั่น คือภาพใบหน้าของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรทั้ง 4 ทิศ อยู่เหนือโคปุระนั้น
ภาพจาก https://www.aboutasiatravel.com/images/plans/ta-prohm-plan.jpg

👉แกะสลักไดโนเสาร์ (สเตโกซอรัส) ที่วัดตาพรหม👈

ปราสาทตาพรหมไม่มีภาพแกะสลักที่ซับซ้อนหรือภาพนูนแบบบรรยาย ในวิหารกลางคุณจะเห็นรูบนผนังที่อาจมีปูนปั้นหรือโลหะปิดไว้ รูปแกะสลักดั้งเดิมอาจผุพังในป่าหรือถูกทำลายหลังจากการตายของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และการเพิ่มขึ้นของศาสนาฮินดู

ภาพจาก https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/3/3b/Dinosaur_carving_at_Ta_Prohm_temple%2C_Siem_Reap%2C_Cambodia_%285534467622%29.jpg

อย่างไรก็ตามผู้เยี่ยมชมอาจต้องการลองค้นหาการแกะสลักสเตโกซอรัสที่มีชื่อเสียงในขณะที่มีโต้แย้งว่าการแกะสลักเป็นเพียงเรื่องหลอกลวงหรือหากพิสูจน์ได้จริงว่าอารยธรรมขอมมีความรู้หรือแม้แต่ประสบการณ์โดยตรงเกี่ยวกับไดโนเสาร์

☆☆☆☆☆

ที่ปราสาทตาพรหมมีต้นไม้อยู่ 2 ชนิด ต้นที่ใหญ่ที่สุดเรียกว่า ต้นสะปง หรือภาษาไทยเรียกว่า ต้นสำโรง เป็นต้นไม้ยืนต้นเนื้ออ่อน รกของมันจะดุดน้ำใต้ดินเข้าลำต้นทำให้นกดูป่อง พอง ส่วนพันธุ์ไม้อีกพันธุ์หนึ่งเป็นไม้เลื้อยขึ้นอยู่ตามหน้าบัน ทับหลังหรือตัวปราสาท หลังคา ลักษณะเป็นไม้พุ่ม ไม้ล้มลุก บ้างก็แห้งตายคาอยู่ บ้างก็ยังเขียวสดอยู่ เกิดจากการที่นกมาขับถ่ายมูลที่มีเมล็ดของพันธุ์นี้ทิ้งไว้ บริเวณใดของปราสาทที่มีน้ำขังอยู่มีตะไคร่น้ำที่ให้ความชุ่มชื้น ก็สามารถทำให้เมล็ดพันธุ์เติบโตเป็นต้นได้ ทั้งไม้เล็กและไม้ใหญ่ต่างเติบโตตามสภาวะที่เอื้ออำนวยรากของไม้ใหญ่ที่แทรกชอนไชไปบนแผ่นศิลา เพื่อจะหาที่ลงดินเกิดเป็นรูปทรงคล้ายหนวดปลาหมึกเกาะกุมองค์ปราสาททำให้ช่วยประคองยึดตัวปราสาทไม่ให้พังลงมาได้

ภาพจาก https://media-cdn.tripadvisor.com/media/photo-s/03/92/80/83/ta-prohm.jpg

🌴🌴🌴🌴🌴

ปราสาทตาพรหมถือได้ว่าเป็นโบราณสถานที่เป็นทั้งแหล่งเรียนรู้ทางธรรมชาติและทางประวัติศาสตร์ แต่หลัง ๆ ที่ปราสาทตาพรหมแทบไม่หลงเหลือศิลปะให้นักท่องเที่ยวได้ เห็นมากนัก เพราะที่ผ่านมามีการใช้สถานที่ในการถ่ายทำฉากหนังของระดับฮอลลีวูดอย่างต่อเนื่อง เช่น ทูมไรเดอร์ หรือ เจมส์บอนด์ ฯลฯ  ทำให้ศิลปะที่เป็นซากโบราณ แทบจะหายไปและถูกกลืนไปอย่างไร้ร่องรอย ดังนั้นนักท่องเที่ยวที่ไปเยี่ยมชมจึงควรช่วยกันรักษาโบราณสถานนี้ให้คงอยู่สืบไป


ขอบคุณข้อมูลจาก

Siemreap.net. (2017). Ta Prohm. Retrieved September 17, 2020. From https://www.siemreap.net/visit/angkor/temples/ta-prohm/

Wikipedia, the free encyclopedia. (2020). Ta Prohm. Retrieved September 17, 2020. From https://en.wikipedia.org/wiki/Ta_Prohm

วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. (2562). ปราสาทตาพรหม. สืบค้นเมื่อ 17 กันยายน 2563. จาก https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%A1

โอเชี่ยนสไมล์. (ม.ป.ป.). ปราสาทตาพรหม. สืบค้นเมื่อ 17 กันยายน 2563. จาก http://www.oceansmile.com/KHM/Taphom.htm

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2563

Imperial Tomb of Dong Khanh

อาณาจักรแรกของเวียดนาม คืออาณาจักรนามเวียด (อาณาจักรทางตอนเหนือ) ตกเป็นเมืองขึ้นของจีนมานานทำให้เวียดนามเป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากจีน แม้ต่อมาอาณาจักรเวียดนามจะเป็นอิสระแต่ก็ยังคงส่งเครื่องราชบรรณาการให้จีน

เว้ เป็นเมืองหลวงหลักของจังหวัดเถื่อเทียน-เว้ ประเทศเวียดนาม และเคยเป็นเมืองหลวงเก่าในสมัยราชวงศ์เหงียนในช่วงปีค.ศ. 1802-1945 มีโบราณสถานอยู่ทั่วเมืองและยังคงหลงเหลือร่องรอยแห่งความเจริญรุ่งเรืองของนครจักรพรรดิ ซึงแต่ละแห่งล้วนมีเรื่องราวน่าสนใจมากมาย ทำให้เว้มีชื่อเสียงและได้รับการยืนยันจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) ประกาศขึ้นเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปีค.ศ. 1973 จึงดึงดูดนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมไม่ขาดสาย

การท่องเที่ยวเป็นองค์ประกอบสำคัญของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศเวียดนาม ทำให้เวียดนามเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั้งเอเชีย อย่างจีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น นอกจากนี้เวียดนามยังดึงดูดนักท่องเที่ยวจากยุโรปจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย, สหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส เป็นต้น และจากสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลียอีกด้วย


วันนี้เราจึงจะมาแนะนำแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ในเวียดนามที่เป็นหนึ่งในสุสานจักรพรรดิราชวงศ์สุดท้ายของเวียดนาม

ภาพจาก https://www.zeotrip.com/wp-content/uploads/2018/08/Vietnam-Hue-Imperial-Tomb-of-Dong-Khanh3.jpg


ภาพจาก https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj_26jeBQ0wv3Qfd6S3tHDU-OX4ttqioP8LoHa-7SRR6AlaLpW8YTtrloesEb333K_wxs9k2bfCpbXhzJDr6ic9ziI6Q0-05xPC8Fd5wSFSVF9pH3NX7nFnx5ru99_IzhEwIK-P08prvVc/s320/Tumba_Emperador_Dong_Khanh_Hue.jpg


Imperial Tomb of Dong Khanh (สุสานจักรพรรดิโด่งแข็ง)

สุสานของจักรพรรดิ Dong Khanh เป็นสุสานของจักรพรรดิเว้ที่เล็กที่สุดโดยได้รับอิทธิพลจากฝรั่งเศสและประติมากรรมดินเผา สถานที่แห่งนี้เคยเป็นวัดในความทรงจำของบิดาของจักรพรรดิ (Nguyen Phuc Hong) แต่ถูกนำมาใช้เป็นหลุมฝังศพเนื่องจากการสิ้นพระชนม์ของจักรพรรดิDong Khanh อย่างกะทันหันในปี ค.ศ. 1889

จักรพรรดิKhanh Đồng พระองค์สิ้นพระชนม์อย่างกะทันหันเมื่ออายุ 25 ปีหลังจากครองราชย์ได้ 3 ปี เนื่องจากอายุยังน้อยเขาจึงไม่มีเวลาวางแผนและสร้างสุสานจักรพรรดิของท่าน ในช่วงเวลาเดียวกันคือปี1888 จักรพรรดิDong Khanhได้สั่งให้สร้างวัดเพื่อระลึกถึงพ่อของเขา เนื่องจากปัญหาที่แพร่หลายในภูมิภาค โดยเฉพาะเวียดนามและการเสียชีวิตอย่างกระทันหันของจักรพรรดิ ก็ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนชื่อวัดเป็น Tu Truy และใช้เป็นสถานที่ของส่วนที่เหลือจักรพรรดิ Dong Khanhในเว้ ดังนั้นความจริงคือหลุมฝังศพถูกสร้างขึ้นในปี 1888 ก่อนการตายของจักรพรรดิในปี 1889 พื้นที่สุสานทั้งหมดถูกเรียกว่า Tu Lang กระบวนการสร้างต้องหยุดชะงักหลายครั้งและงานก่อสร้างส่วนใหญ่แล้วเสร็จภายใต้รัชสมัยของKhai Dinh บุตรชายของDong Khanhในปีค.ศ. 1917


โครงสร้างและองค์ประกอบของสุสานจักรพรรดิดงคานห์

หลุมฝังศพของDong Khanh เนื่องจากเริ่มแรกเป็นวัดและควบคู่ไปกับการที่พวกเขาใช้เวลาเพียง 8 เดือนในการสร้างทำให้อนุสาวรีย์นี้อยู่ในสุสานจักรพรรดิราชวงศ์เหงียนที่เล็กที่สุด

สุสานจักรพรรดิถูกสร้างขึ้นในยุโรปในช่วงอิทธิพลของสถาปัตยกรรมเอเชียเป็นหนึ่งในสถานที่ที่โดดเด่นที่สุดของชนิดเดียวกันของสถาปัตยกรรม บริเวณของสุสานประกอบด้วยอาคาร 20 หลังโดยเน้นไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้และอยู่ใกล้กันมาก ลานพิธีตกแต่งด้วยรูปปั้นดินเผาที่ปูด้วยปูนซึ่งแตกต่างจากสุสานของจักรวรรดิอื่น ๆ ซึ่งทำจากหิน
ภาพจาก https://www.inspirock.com/vietnam/hue/imperial-tomb-of-dong-khanh-a6324777603


ภาพจาก https://media-cdn.tripadvisor.com/media/photo-s/09/f4/68/a2/dsc01533-largejpg.jpg

โดยทั่วไปแล้วอาคารในพื้นที่ค่อนข้างเก่า สถาปัตยกรรมของพระราชวังมีลักษณะคล้ายหอยทากในห้องโถงใหญ่และบ้านที่ต้องพึ่งพาอาศัยกันยังคงเป็นแถวที่สวยงามของเสาเคลือบสีทองที่มีโครงการตกแต่งตามสัตว์ลับสี่ตัวและสี่ตัว ต้นไม้มีค่า เป็นที่น่าสังเกตว่าพระราชวัง Ngung Hy ซึ่งถือเป็นสถานที่ที่สงวนไว้มากที่สุดของศิลปะการวาดภาพเครื่องเคลือบปิดทอง ยังเป็นที่รู้จักกันดีในเวียดนาม

ภาพจาก https://originvietnam.com/uploads/travel-guide/hue/Tomb_of_Dong_Khanh/IMG-24371.jpg

สุสานจักรพรรดิ Dong Khanh เป็นที่เก็บวัตถุโบราณของเมืองหลวงเก่าอย่างเว้ ซึ่งตั้งอยู่ในชุมชน Thuy Xuan  และยังได้รับการยืนยันจาก UNESCO ให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมเมื่อปีค.ศ. 1993


ที่ตั้งของสุสานอิมพีเรียลตงคานห์

สุสานตงคานห์อยู่ห่างจากเมืองเว้ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ 6 กิโลเมตรข้างสุสานตือดึ๊ก


เวลาเปิดทำการของ Dong Khanh Imperial Tomb

สุสาน Dong Khanh เปิดทุกวันตั้งแต่ 7: 00 ถึง 11: 30 น. และ 13: 30 ถึง 17: 30 น. เนื่องจากงานอนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพย่ำแย่หลายส่วนของสุสานจักรพรรดิจึงปิดไม่ให้ประชาชนเข้าชม


ค่าธรรมเนียมแรกเข้าและราคาตั๋ว

เข้าชมสุสานอิมพีเรียลด่งคานห์มีราคาสัญลักษณ์ 22,000 ดอง (น้อยกว่า 1 ยูโร ดูสกุลเงินเวียดนาม)


ติดต่อ Imperial Tomb Dong Khanh

โทรศัพท์: 84 (0) 54 523237 


💜💛💚💙💖



เอกสารอ้างอิง

Oporshady. (2014). เว้ เมืองมรดกโลก เวียดนาม. สืบค้นเมื่อ 26 สิงหาคม 2563. จาก https://travel.mthai.com/world-travel/63126.html

Origin Vietnam. (ม.ป.ป.). Dong Khanh Tomb. สืบค้นเมื่อ 26 สิงหาคม 2563. จาก https://originvietnam.com/destination/vietnam/hue/dong-khanh-tomb.html

Vietnamitas en Madrid. (2011). Dong Khanh Imperial Tomb in Hue. สืบค้นเมื่อ 26 สิงหาคม 2563. จาก https://en.vietnamitasenmadrid.com/2011/12/dong-khanh-imperial-tomb-hue.html

Vietnam online. (ม.ป.ป.). Dong Khanh Tomb. สืบค้นเมื่อ 26 สิงหาคม 2563. จาก https://www.vietnamonline.com/attraction/dong-khanh-tomb.html

wikipedia. (2019). เว้. สืบค้นเมื่อ 26 สิงหาคม 2563. จาก https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B9%89


วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2563

การเตรียมตัวก่อนปฏิบัติหน้าที่ของมัคคุเทศก์

        ก่อนจะปฏิบัติงานมัคคุเทศก์ต้องมีการเตรียมตัวเสมอ เนื่องจากมัคคุเทศก์ถือเป็นผู้ดูแลความเรียบร้อยของนักท่องเที่ยวทั้งก่อนเดินทาง ตลอดการเดินทางและหลังเดินทาง หากไม่มีการตรวจสอบหรือเตียวตัวก่อน อาจจะทำให้เกิดข้อผิดพลาดที่เหนือการควบคุมได้ง่าย วันนี้เราจึงสรุปขั้นตอนก่อนปฏิบัติงานอย่างคร่าว ๆ มาไว้ให้นำไปเตรียมตัวกัน



ภาพจาก https://en.pimg.jp/020/606/961/1/20606961.jpg


อันดับแรกเราจะต้องได้รับมอบหมายงานจากบริษัทนำเที่ยวก่อน โดยปกติแผนกปฏิบัติการของบริษัทนำเที่ยวจะเป็นผู้พิจารณา ซึ่งมัคคุเทศน์ที่มีความมั่นใจในประสบการณ์และชำนาญการอาจะเสนอตัวได้ แต่ก็ไม่ควรโทรศัพท์มาถามรายละเอียดงาน ควรเข้ามาที่บริษัทถึงจะเหมาะสม บริษัทก็จะมอบหมายงานให้ดังนี้

  • รายละเอียดในใบงาน
  • จำนวนและข้อมูลส่วนตัวของนักท่องเที่ยว
  • รายการนำเที่ยวฉบับสมบูรณ์ เช่น วันเวลาในการเดินทาง ยานพาหนะที่ใช้ในการเดินทางแต่ละสถานที่ สถานที่พักแรม ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว และร้านขายของที่ระลึก เป็นต้น
  • รายละเอียดของการชำระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในระหว่างการนำเที่ยว
  • เอกสารและอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่
  • นโยบายของบริษัทในกรณีที่เกิดปัญหาหรือเหตุการณ์ผิดปกติ

ขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนปฏิบัติงานมี 4ต ดังนี้

😄1. เตรียมเอกสาร

หลังจากนั้นเราก็ต้องตรวจสอบเอกสาร มักประกอบด้วย ใบงาน, รายการนำเที่ยวสำหรับผู้นำเที่ยว, ใบ Voucher หรือสัญญาการซื้อบริการนำเที่ยว, สำเนาจดหมายติดต่อธุรกิจระหว่างบริษัทนำเที่ยวกับสถานประกอบการต่าง ๆ , รายชื่อนักท่องเที่ยวสำหรับการจัดที่นั่งทั้งบนรถและบนเครื่องบิน, รายชื่อนักท่องเที่ยวสำหรับการจัดห้องพัก ที่เรียกว่า (Hotel) Rooming List

สำหรับในการนำเที่ยวออกนอกประเทศ (Outbound Tour) จำเป็นต้องตรวจสอบเอกสารสำหรับใช้ในการเดินทางเพิ่มเติมดังนี้

  • บัตรโดยสารเครื่องบินของนักท่องเที่ยว
  • แบบฟอร์มการเข้า-ออกประเทศ (Immigration Form)
  • แบบฟอร์มการแจ้งรายการสิ่งของต่อศุลกากร (Custom Declaration Form) ของประเทศที่จะเดินทางไป และที่สำคัญหนังสือเดินทางหรือPassportของนักท่องเที่ยว


😀2. เตรียมอุปกรณ์

อุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการปฏิบัติงานนำเที่ยว ประกอบด้วย

  • ป้ายชื่อหรือสติกเกอร์ (Tag) สำหรับติดกระเป๋าเดินทางของนักท่องเที่ยว หรือจะเป็นริบบิ้นสีสดใสสำหรับผูกติดกระเป๋าเดินทางของนักท่องเที่ยว เพื่อป้องกันการสูญหายและสับเปลี่ยนกับกลุ่มอื่น
  • ป้ายชื่อนักท่องเที่ยวสำหรับให้นักท่องเที่ยวติดไว้กับตัว
  • สิ่งของกระจุกกระจิกสำหรับให้บริการและอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยว
  • อาหารว่างและเครื่องดื่ม
  • อุปกรณ์ต่าง ๆ สำหรับจัดกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวได้ร่วมสนุกระหว่างการเดินทาง
  • เครื่องปฐมพยาบาล (First Aid Kids)
  • เครื่องขยายเสียงแบบพกพา เพื่อนักท่องเที่ยวจะได้สามารถได้ยินชัดเจนขึ้นและช่วยทุ่นแรงการใช้เสียงของมัคคุเทศก์เอง


ภาพจาก https://www.g-able.com/engine/wp-content/uploads/2017/11/lost.jpg


😊3. เตรียมข้อมูล

เริ่มจากควรศึกษาหาความรู้ในด้านต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อจะได้เท่าทันเหตุกาณ์โลกปัจจุบันและสามารถอัปเดตให้นักท่องเที่ยวฟังได้ และเตรียมการด้านติดต่อประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง

หน่วยงานที่มัคคุเทศก์อาจต้องติดต่อประสานงานก่อนปฏิบัติหน้าที่ เช่น

  • กองอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ ในด้านของที่พักแรมและการนำชม
  • กรมศิลปากร ในด้านการนำชมแหล่งท่องเที่ยวประวัติศาสตร์
  • กรมทางหลวง ตำรวจทางหลวง ตำรวจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย บริษัทประกันภัย หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น เป็นต้น

นอกจากนี้ยังต้องศึกษากิจการของบริษัทนำเที่ยว เพื่อที่จะสามารถประชาสัมพันธ์บริษัทและเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับบริษัทนำเที่ยวที่เราสังกัดอยู่และบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย


😍4. เตรียมตัวเอง

ที่สำคัญที่สุดเลยคือมัคคุเทศก์ต้องเตรียมความพร้อมตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพ ของใช้ส่วนตัว และเอกสารส่วนตัวของตัวเอง เพราะถ้ามัคคุเทศก์ไม่พร้อม ทุกอย่างที่วางแผนไว้ก็คงไม่ประสบผลสำเร็จ


การเตรียมตัวก่อนจะปฏิบัติงานของมัคคุเทศก์มีอยู่ 4ต หลัก ๆ คือ เตรียมเอกสาร เตรียมอุปกรณ์ เตรียมข้อมูล และเตรียมตัวเอง จะเห็นได้ว่ามัคคุเทศก์ไม่ใช่มีหน้าที่แค่นำเที่ยวเท่านั้น พวกเขาต้องเตรียมตัวมาอย่างดีเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างราบรื่นและทำให้นักท่องเที่ยวประทับใจ นึกถึงเราและกลับมาใช้บริการกับเราอีก

💛💚💙💜💗



เอกสารอ้างอิง

chickyshare. (2557). หลักการนาเที่ยว หลักการพูด และการแก้ไขปัญหาเฉพาะ หน้าที่เกิดจากองค์ประกอบทางการท่องเที่ยว ในระหว่างการนาเที่ยว. สืบค้นเมื่อ 26 สิงหาคม 2563. จาก https://www.slideshare.net/chickyshare/t-guide-6

วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2563

เทคนิคการนำเสนอทัวร์ของมัคคุเทศก์

มัคคุเทศก์ หรือไกด์ เป็นผู้ให้ความช่วยเหลือข้อมูล ความเข้าใจทางด้านวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และเหตุการณ์ต่าง ๆ แก่บุคคลที่อยู่ในกลุ่มท่องเที่ยว ซึ่งมัคคุเทศก์ก็จะมีหลากหลายประเภทตามแต่ใบอนุญาตและความถนัดกันไป ซึ่งวันนี้เราก็จะมาแนะนำเทคนิคในการนำเสนอทัวร์ของมัคคุเทศก์ โดยแบ่งเป็น 3 ประเด็น ดังนี้


1. กระบวนการทำงาน

    มัคคุเทศก์ที่ดีควรเริ่มจากการแนะนำตัวและอธิบายภาพรวมของโปรแกรมทัวร์ ว่าวันนี้เราจะไปที่ไหน ทำอะไรกันบ้าง พอมาถึงจุดรวมพลก็ควรแนะนำภาพรวมของสถานที่นั้น ๆ อย่างคร่าว ๆ ก่อนจะนำชมควรให้ลูกทัวร์เข้าห้องน้ำและอธิบายกฎหรือข้อห้ามซึ่งเป็นวัฒนธรรมและข้อระวังของประเทศนั้น ๆ ที่สำคัญอย่าลืมนัดแนะเรื่องเวลาและสถานที่ที่จะเจอกัน หลังชมเสร็จ เราต้องคอยเช็คจำนวนลูกทัวร์เสมอ


2. เนื้อหาที่มัคคุเทศก์ควรนำเสนอ

    เนื้อหาที่มัคคุเทศก์นำเสนอควรแบ่งออกเป็นสามส่วน คือ

-Must talk สิ่งที่ต้องพูด ซึ่งครอบคลุม 5W และ 1H 

5W1H คืออะไร?

  • Who ใคร
  • What ทำอะไร
  • Where ที่ไหน
  • When เมื่อไหร่
  • How อย่างไร
  • Why ทำไม

-Should talk เกร็ดความรู้เพิ่มเติมที่นักท่องเที่ยวหรือลูกทัวร์ควรทราบ

-Could talk ถ้าเกิดว่าลูทัวร์สนใจก็ค่อยอธิบายเพิ่ม เช่น เรื่องสัพเพเหระ ตำนานหรือเรื่องเล่า เป็นต้น


3. เทคนิคการนำเสนอ/การพูดของมัคคุเทศก์

    แน่นอนว่าบุคลิกภาพของมัคคุเทศก์ต้องดี กล่าวคือควรมีความมั่นใจ ยืนตัวตรง Eye contact กับผู้ฟัง พูดเสียงดัง ฟังชัดมีหนักเบา ไม่ใช่ใช้น้ำเสียงเดียว อาจจะมีผายมือประกอบเพิ่มถ้ากำลังอธิบายลักษณะสิ่งของ แต่ไม่ควรขยับยุกยิก ๆ เพราะจะทำให้ลูกทัวร์เสียสมาธิได้ ที่สำคัญคืออย่าลืมยิ้ม! รอยยิ้มเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ไกด์น่าสนใจมากขึ้น

    เลือกจุดนำชมที่เหมาะสม กล่าวคือ เป็นสถานที่ร่ม แดดไม่สองทั้งไกด์และลูกทัวร์ อาจจะมีที่นั่งพักด้วยก็ยิ่งดี สมารถมองเห็นจุดเชื่อมโยงสำคัญได้ครบ อย่างเช่นถ้าไกด์บรรยายอยู่หน้าโบสถ์หรือเจดีย์ ก็ควรจะเลือกจุดที่ลูกทัวร์ไม่ต้องแหงนหน้ามอง กล่าวคือไม่ควรจะยืนใกล้กับเจดีย์มากนั่นเอง ต่อมาถ้าเป็นวัตถุอย่าง พระพุทธรูป ไกด์สามารถยืนใกล้ได้เพื่อจะอธิบายรูปทรง ลักษณะ และที่สำคัญไมควรยืนบังวัตถุจัดแสดง อาจจะยืนทำมุม 45 องศาก็ได้

    มีการอธิบายศัพท์เฉพาะก่อน ค่อยอธิบายความหมายเพิ่ม เช่น Stupa หรือ สถูป แทนที่เราจะใช้ศัพท์อังกฤษเลย เราพูดศัพท์เฉพาะ สถูป ก่อน แล้วค่อยอธิบายความหมายตาม จะทำให้น่าสนใจมากกว่า

    การทำให้ลูกทัวร์มีส่วนร่วมในการบรรยายอย่างถามคำถามแบบ two way communication กล่าวคือ มีช้อยให้เขาเลือกตอบนั่นเอง

    การชี้จุดสำคัญที่ทำให้ลูกทัวร์สังเกตและจำได้ง่ายขึ้น ได้ยังไง?                      การใช้คำคุณศัพท์อย่างสี หรือลักษณะเฉพาะ จะช่วยให้ลูกทัวร์สังเกตได้ ว่าเรากำลังพูดถึงอะไรนั่นเอง นอกจากนี้อาจจะมีอุปกรณ์เสริมอย่างรูปภาพ มาช่วยได้ในกรณีที่ไม่สามารถเข้าไปบรรยายในตัวอาคารได้ เพราะจะเป็นการรบกวนผู้อื่นด้วย

ถ้าเกิดลูกทัวร์สงสัยและถามคำถาม ไกด์ควรทวนคำถามขอลูกทัวร์ก่อนว่าเข้าใจตรงกัน หรือเรื่องเดียวกันไหม? นอกจากนี้การทวนคำถามยังช่วยให้ไกด์ได้มีเวลาคิดคำตอบเพิ่มขึ้นด้วย ส่วนการตอบคำถาม ไม่ควรตอบยาว เพราะจะทำให้ลูกทัวร์หมดความสนใจ หรือเป็นการเปิดโอกาสให้เขาถามต่อ และอาจจะเสียเวลาได้

ภาพถ่ายโดย สุพรรษา ฤทธิพิพัฒน์

  

  จะเห็นได้ว่าการเป็นมัคคุเทศก์ที่ดีนั้นไม่ใช่เนื้อหา ข้อมูลต้องแม่นยำอย่างเดียว ควรมีเทคนิควิธีที่จะทำให้ลูกทัวร์ยังคงมีความสนใจในสิ่งที่เรากำลังเสนอ เพราะถ้าเรามัวแต่เสนอข้อมูลโดยลืมโฟกัสที่ผู้ฟัง ก็จะทำให้ทัวร์นั้นน่าเบื่อไปเลยทันที 

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2563

การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตจากยุคหินเก่าจนเข้าสู่ความเป็นอารยธรรม

   มนุษย์มีสมองในการสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ สนองต่อการใช้ชีวิตของตัวเองและพัฒนาให้มีความก้าวหน้าขึ้นตามยุคสมัย จนกลายเป็นวัฒนธรรมหรือวิถีชีวิตที่สืบทอดต่อกันมา และเป็นอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรืองสูงสุด

เกษตรกรรมเปลี่ยนสังคมอย่างไร?

    ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ สมัยหินเก่าที่มนุษย์ยังไม่รู้จักอยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง พวกเขาเร่ร่อนอาศัยอยู่ตามถ้ำ เพิงผา หรือหุบเขา โดยล่าสัตว์หาพืชเป็นอาหารในการดำรงชีวิต รู้จักใช้ไฟ มีการสร้างอาวุธอย่างง่าย ๆ โดยใช้หินกระเทาะหยาบ ๆ ไม่มีความปราณีตแต่อย่างใด ซึ่งพวกเขาก็มีการพัฒนาด้านภาษา อย่างการรู้จักสร้างสรรค์ภาพวาดบนผนังถ้ำ นอกจากนี้แล้วยังรู้จักฝังศพด้วย จะเห็นได้ว่าในยุคหินเก่านั้น มนุษย์รู้จักเพียงการปรับตัวให้สามารถอยู่รอดได้ สังคมจึงยังไม่ซับซ้อนมากนัก

ยุคหิน - Pakkapol Sirmongkol
ภาพจาก https://sites.google.com/site/pakkapolsirmong/home/yukh-hin


    ต่อมาในสมัยหินใหม่มนุษย์รู้จักตั้งรกรากอยู่กันเป็นหลักแหล่ง มีการเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นแหล่งอาหาร มีการพัฒนาเครื่องมือเครื่องใช้ อย่างการผสมทองแดงกับดีบุก และได้เป็นทองสัมฤทธิ์ที่มีความแข็งแรงขึ้น หรือเครื่องมือที่ทำจากหิน ก็ขัดฝนให้มีความแหลมคมและประณีตสวยงามขึ้น หม้อดินเผา ทอผ้า และคันไถ นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มขึ้นของกิจกรรม และการค้า ที่ทำให้เกิดความมั่งคั่งตามมา 

    จะเห็นได้ว่าเมื่อมนุษย์รู้จักตั้งรกรากอย่างเป็นหลักแหล่งและทำการเกษตร ผู้คนจึงอาศัยอยู่กันเป็นกลุ่มหรือหมู่บ้านเล็ก ๆ ทีนี้สังคมก็จะซับซ้อนขึ้น เพราะการที่มนุษย์อยู่รวมกันหลาย ๆ คน ต้องมีกฎมีเกณฑ์ที่ใช้ร่วมเพื่อความสงบสุข ความเชื่อและศาสนาก็จะเกิดขึ้น เพราะเชื่อตาม ๆ กันมา บูชาสิ่งเหนือธรรมชาติ แน่นอนว่าการอยู่ร่วมกันของคนหมู่มาก หลายคนย่อมมีหลายความคิด และนำมาซึ่งความขัดแย้ง ก่อให้เกิดสงครามและโรคระบาดตามมา

ยุคหินใหม่(neolithic period หรือ new... - วัฒธรรมศึกษา ...
ภาพจาก  https://scontent.fbkk8-3.fna.fbcdn.net/     


    จากยุคหินใหม่ที่กล่าวมานั้นจะเห็นได้ว่าเกษตรกรรมเป็นตัวขับเคลื่อนให้สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงจากยุคหินเก่าเป็นอย่างมาก มนุษย์ในตอนนั้นอาจจะยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าพวกเขาได้วางรากฐานของอารยธรรมขึ้นแล้ว จากการที่มีหมู่บ้าน มีแหล่งอาหาร หลาย ๆ แหล่ง จนเกิดเป็นเมือง (cities) ขึ้น และเป็นการเริ่มต้นของยุคประวัติศาสตร์

    เกษตรกรรมที่ถูกพัฒนาได้มีวิธีการใหม่ ๆ ที่จะช่วยเพิ่มผลผลิต คือการทำชลประทาน กักเก็บน้ำในยามแล้งได้ ทำให้มีผลผลิตเหลือเฟือพอที่จะจำหน่ายและแลกเปลี่ยนกันได้ จนเกิดเป็นเศรษฐกิจ มีการค้า มีการจายตัวของแรงงาน  ผู้คนเริ่มไปทำงานฝีมือที่ใช้ความสามารถเฉพาะด้าน ไม่ทำเพียงการเกษตรแล้ว 

ประวัติศาสตร์สากล] อารยธรรม เมโสโปเตเมีย EP-01
ภาพจาก https://t1.bdtcdn.net/photos/2020/05/5eccc94388f1520cb84a083b_800x0xcover_e4V9GciI.jpg


    เมื่อเกิดการจำแนกแรงงานไปตามความสามารถ ทำให้เกิดเป็นชนชั้นทางสังคมตามมา เพราะสังคมเรามีอาชีพที่แตกต่างกันไปทำงานส่วนต่าง ๆ เช่น ทหาร ตำรวจ วิศวกร ชาวนา เป็นต้น รัฐบาลจึงต้องมีการจัดระเบียบการปกครองที่ดีและเป็นแบบแผนขึ้น นอกจากนี้ยีงมีศาสนาที่เป็นทางการอีกด้วย

    สรุปได้ว่าอารยธรรมเกิดขึ้นอย่างอิสระจากความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งเพาะปลูก ที่มีอาหารมากพอสนับสนุนการเจริญเติบโตของประชากร จากยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่รู้จักเพียงปรับตัวกับสภาพแวดล้อม ก็ค่อย ๆ คิดค้นพัฒนาทรัพยากรในพื้นที่ให้เกิดผลประโยชน์ที่ยั่งยืนและยาวนาน ถือเป็นการวางรากฐานอารยธรรมให้กับลูกหลานในเวลาต่อมา

วัดเชียงควน